ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
โดยปกติแล้วซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ รวมถึงฟรีแวร์และโอเพนซอร์สนั้นมาพร้อมลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
ซึ่งลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์นั้นไม่ได้หมายความว่าต้องเสียเงินเสมอไป แต่ใช้เพื่ออธิบายสิทธิของผู้ใช้ว่า
ได้รับการอนุญาตให้ทำอะไรบ้าง[1]
ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทตามลักษณะการคุ้มครอง ดังนี้
- Commercial ware คือ โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่มุ่งในเรื่องการค้า เพราะการจะได้โปรแกรม หรือซอฟต์แวร์ประเภท Commercial ware มาใช้นั้น ผู้ใช้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำโปรแกรม
- หรือซอฟต์แวร์ดังกล่าวมาใช้[2] Commercial ware มีการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์อย่างเต็มที่
- Share ware คือ โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่เปิดโอกาสให้มีการทดลองใช้ก่อน เมื่อผู้บริโภคสนใจ ที่จะใช้โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์นั้น เจ้าของโปรแกรมหรือผู้พัฒนาโปรแกรมจะทำการเก็บเงินใน การใช้งานโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์นั้น ๆ [3][4] Share ware มีการคุ้มครองจากลิขสิทธิ์อย่างเต็ม ที่เช่นเดียวกับ Commercial ware
- Ad ware คือ โปรแกรมที่ให้ใช้ฟรี แต่ก็มีการเก็บเงินบ้างเป็นบางครั้ง และ/หรือ มีการโฆษณา ภายในโปรแกรม หรือเพิ่มโฆษณาในระหว่างการใช้เว็บเบราเซอร์[5] Ad ware มีการคุ้มครองจากลิขสิทธิ์อย่างเต็มที่เช่นกัน
- Free ware คือ โปรแกรมที่ให้ใช้ฟรีโดยไม่มีการเสียค่าตอบแทนแต่อย่างใด และสามารถนำ โปรแกรมประเภท Free ware ส่งต่อให้ผู้อื่นใช้ด้วยก็ได้ แต่ต้องไม่มีการนำโปรแกรมนั้นไปขาย[6] Free ware มีการคุ้มครองน้อย หรือมีการคุ้มครองเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
- Open source คือ โปรแกรมที่ทำออกมาให้ใช้ฟรี และผู้ใช้ยังสามารถร่วมกันพัฒนาโปรแกรม ประเภท Open source ได้อีกด้วย โดยการเขียนโปรแกรมเพิ่มหรือแก้ไขโปรแกรมนั้น ๆ
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ หมายถึงการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการคัดลอกซอฟต์แวร์ คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีหลายประเทศที่มีกฎหมายลิขสิทธิ์ที่มีกฎหมายบังคับ แต่ระดับการบังคับแตกต่างกันไป ระบบคอมพิวเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดในทุกวันนี้มีอายุราว 40 ปี ในด้านลิขสิทธิ์แล้วจะไม่หมดลิขสิทธิ์ไปจนราวปี ค.ศ. 2030 ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
สาเหตุที่ทำให้ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
- เนื่องจากของแท้มีราคาแพง และมีค่าใช้จ่ายสูง
- การละเมิดลิขสิทธิ์ทำได้ง่ายและรวดเร็ว
- ตัวสินค้าก็มีคุณภาพเทียบเท่าของจริง
- เป็นวัฒนธรรมในบางสังคม ซึ่งมีมาเป็นเวลายาวนาน เช่น การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีการแบ่งปันกันใน สังคมมาโดยตลอด จึงทำให้ผู้ที่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ไม่คิดว่าตนเองได้กระทำความผิด
- กลไกในการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และการหาตัวผู้กระทำความผิด ก็ทำได้ยากเช่นกัน[1]
- การทำสำเนาโดยผู้ใช้งาน (Enduser Copy) คือ การทำสำเนาโดยผู้ใช้งาน การทำสำเนาแจกจ่าย ระหว่างผู้ใช้งานแม้ว่าจะเป็นการทำสำเนาจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับของแท้ ก็จัดว่าเป็นการละเมิด ประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ หรือการใช้งานซอฟต์แวร์มากกว่าจำนวนที่ได้รับสิทธิ การกระทำเช่นนี้มิเพียงแต่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเท่านั้น หากแต่ยังเสี่ยงต่อ การแพร่ระบาดของไวรัส และความเสียหายของข้อมูล ฯลฯ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอันประเมินค่า มิได้ต่อธุรกิจของท่าน
- การติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในฮาร์ดดิสก์ (Harddisk Loading) เช่น ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตั้งซอฟต์แวร์ให้ โดยแนะนำให้ลูกค้าซื้อซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ โดยตนเองจะให้บริการติดตั้งเท่านั้น หรือ แนะนำให้ลูกค้ารับเครื่องเปล่าไปก่อน และส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตั้งที่บ้านหรือที่ทำงานของลูกค้าภาย หลัง
- การปลอมแปลงสินค้า (Counterfeiting)ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์บางรายถึงกับผลิต CD และคู่มือปลอม จำหน่าย โดยจัดทำบรรจุภัณฑ์เหมือนกับสินค้าจริงทุกประการ เพื่อเป็นการหลอกลวงให้ผู้ซื้อเข้าใจว่า ได้สินค้าของแท้
- การละเมิดลิขสิทธิ์ Online (Internet Piracy) ลักษณะที่เกิดขึ้นมากในปัจจุบันคือการ Download ซอฟต์แวร์ผ่าน Internet โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ไม่ใช่ Shareware
- การขายหรือใช้ลิขสิทธิ์ผิดประเภท ในบางกรณีผู้ค้าซอฟต์แวร์จำหน่ายซอฟต์แวร์ผิดประเภทให้กับ ลูกค้า ทำให้ผู้ซื้อตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
[
เทคโนโลยีการแชร์ไฟล์แบบเพียร์ทูเพียร์ (Pear 2 Pear; P2P) เป็นเทคโนโลยีทีช่วยลดความรู้ พื้นฐานที่จำเป็นต่อการรับข้อมูลเป็นจำนวนมาก มีเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ ในขณะเดียวกันเครือข่ายความรู้นี้ก็อาจเปลี่ยนไปเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ ซึ่งยากต่อการตรวจสอบ เนื่องจากผู้ใช้สามารถเปลียนชื่อไฟล์และเนื้อหาที่จะแชร์ได้คุณภาพของฟรีแวร์ที่เพิ่มสูงขึ้นจนเป็นทางเลือกของผู้ใช้ได้ มีส่วนช่วยลดการใช้ซอฟต์แวร์ที่ ละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกัน ผู้ผลิตซอฟต์แวร์บางรายมองว่า การทำสำเนาซอฟต์แวร์ของตนเพื่อเผยแพร่ แม้จะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ดีกว่าการไปซื้อซอฟต์แวร์หรือทำสำเนาของซอฟต์แวร์ที่เป็นคู่แข่งขัน กัน ผู้บริหารของไมโครซอฟท์ เจฟ ไรค์ส์ กล่าวว่า "ถ้าพวกเขาอยากจะละเมิดลิขสิทธิ์ใครสักคน ขอให้ใครสักคนที่ว่านั้นเป็นเรา ไม่ใช่คนอื่น" นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่า[2] "เราเข้าใจว่าในระยะยาว สิ่งพื้นฐานที่มีค่าที่สุดคือจำนวนผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ของเรา สิ่งที่คุณคาดหวังว่าจะทำไปเรื่อย ๆ ระหว่าง นี้คือการเปลี่ยนให้คนที่ใช้ของละเมิดใช้ของที่ถูกกฎหมายแทน"
จากการศึกษารวมกันเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ระหว่าง Business Software Alliance
และ ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของทั้งโลก มากกว่า 13 ล้านเหรียญ ในปี 1995 และมีแนวโน้วว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ[3]
และ ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของทั้งโลก มากกว่า 13 ล้านเหรียญ ในปี 1995 และมีแนวโน้วว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ[3]
กรณีศึกษาคดีละเมิดลิขสิทธิ์ Microsoft vs. Atec[4] เรื่องนี้เป็นคำพิพากษาฎีกาเมื่อปี โดยทั่วไปส่วนมากจะรู้จัก โดยเฉพาะในวิชากฎหมาย ว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยพยานหลักฐาน คำพิพากษาฎีกา ของจริงนี่จะยาวมากๆแต่ที่ยกมาจะอยู่ในรูปของการเล่าเรื่อง มากกว่า ไม่ใช่เป็นฎีกาโดยย่อแต่อย่างใด เพียงอยากให้รู้ว่าคดีนี้ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร และผลของคำพิพากษาเป็นอย่างไร
จากข้อมูลที่ได้มามีคำพิพากษาของ สองศาลคือ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่าง ประเทศกลางและของศาลฎีกา ซึ่งแน่นอน ผลของคำพิากษาต่างกัน
เรื่อง ทรัพย์สินทางปัญญา ลิขสิทธิ์สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ละเมิด[5] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5 305/2550 นายภิรมย์ ฟองทราย ที่ ๑ กับพวก ๒ คน โจทก์ นายประเวศ ประยุทธสินธุ์ ที่ ๑ กับพวก ๓ คน จำเลย
คดี STREAMCAST [6] หัวข้อที่สำคัญคือการพิสูจน์ว่าผู้ค้าส่งซอฟแวร์มีเจตนาที่จะส่งเสริม การละเมิดลิขสิทธิ์ ในคำวินิจฉัย ศาลฎีกากล่าวว่ามีพยานวัตถุว่า เครือข่าย Streamcast มีการจูงใจ ให้ประชาชนใช้ซอฟแวร์ของเขาไปในทางที่ผิดกฎหมายโดยการแชร์ไฟล์ที่มีลิขสิทธิ์ ศาลไม่ได้วินิจฉัย ให้เครือข่าย Streamcast เป็นผู้ที่ต้องรับผิดหรือไม่ แต่พวกเขาเพียงสามารถอ้างความรับผิดได้เท่านั้น โดยหลักแล้วศาลกล่าวว่าไม่สามารถฟ้องบริษัทเทคโนโลยีได้ ถ้าเขาเพียงแต่ทราบว่าลูกค้าของเขาใช้ สินค้าของเขาโดยเจตนาที่ผิดกฎหมาย คำวินิจฉัยหมายความว่าศาลสหรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมีอิสระใน การตัดสินใจในแต่ละคดี ที่ก่อให้เกิดการส่งเสริมให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์
[แก้]การป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์มีผลเสียต่อผู้เผยแพร่ซอฟต์แวร์ ที่การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมสำหรับ บริษัทที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง และก่อให้เกิดความเสียหายกับตราสินค้า ผ่านทางการแจกจ่ายผลิตภัณฑ์ ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และทำให้ลูกค้าได้รับความเสี่ยงด้านไอที รวมถึงการละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย และการสูญเสียข้อมูล จึงมีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ (บีเอสเอ)
กลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ (Business Software Alliance : BSA) เป็นองค์ที่มุ่งสู่เป้าหมายของ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ และพันธมิตรด้านฮาร์ดแวร์ เพื่อขจัดการกีดกันที่ไม่ใช่กำแพงภาษีในการเข้าสู่ตลาด การป้องกันการเกิดภาษีอินเทอร์เน็ตที่บิดเบือน หรือการสร้างความเข้มแข็งให้กับกฎหมายที่ลดการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์[7]
นอกจากนี้กลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์(บีเอสเอ)ร่วมกับไอดีซีเผยผลการศึกษาการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ที่ได้ติดตามการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟตืแวรื กว่า 100 ประเทศทั่วโลก พบว่า จากปีพ.ศ. 2551 ถึง 2552 อัตราการ ติดตั้งซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือเครื่องพีซีในประเทศไทยลดลง 1 จุด มาอยู่ที่ร้อยละ 75 การลดลงดังกล่าวดูเหมือนจะส่งสัญญาณยืนยันแนวโน้มที่ดีว่าอัตราการละเมิด ลิขสิทธิ์กำลังลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีพ.ศ. 2549 จากผลการศึกษายังมีการจัดอันดับประเทศที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ต่ำสุดและสูงสุดอีกด้วย คือ
สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และลักเซมเบิร์ก เป็นประเทศที่มีอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ต่ำที่ สุด (คิดเป็นร้อยละ 20 ร้อยละ 21 และร้อยละ 21 ตามลำดับ)
ประเทศที่มีอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์สูงที่สุด คือ จอร์เจีย ซิมบับเว และมอลโดวา (ทั้งหมดมีอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์สูงกว่าร้อยละ 90 )[8]
บีเอสเอร่วมฉลองวันทรัพย์สินทางปัญญาโลก เปิดตัววิดีโอนำเสนอปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ที่นักพัฒนา ซอฟต์แวร์เอเชียต้องเผชิญ[9]
[แก้]การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในไทย
ไทยยังละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟแวร์ผอ.ฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ประจำภูมิภาคเอเชีย ระบุประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4
ของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ด้าน ผบก.ปศท. ประกาศเอาตำแหน่งเป็นเดิมพัน หาก 3 เดือน
กวาดล้างการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไม่ได้ผล[10]
พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) แถลงข่าวร่วมกับ
กลุ่มพันธมิตรซอฟต์แวร์ โดยนายดรุณ ซอร์นีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ประจำภูมิภาคเอเชีย
กล่าวว่า ประเทศไทยมีการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์สูงถึงร้อยละ 80 และเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
โดยอันดับ 1 คือ เวียดนาม ตามด้วยอินโดนีเซีย และจีน นายอรุณ กล่าวด้วยว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์คนไทย 1 เครื่อง
จะมีชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ถึงร้อยละ 80 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่อีก 3 ประเทศ กลับพบแนวโน้มที่ลดลง[11]